บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เรียนวิชาธรรมกายที่ไหนอย่างไร????


เรียนวิชาธรรมกายที่ไหนอย่างไร????

ขอประกาศตัวไปก่อนว่า.........

หลวงพ่อวัดปากน้ำไปตามให้ผมมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนนั้น ผมกำลังเกิดเป็น "พญาศรีสัตตนาคราช"  ศรีสุทโธ นี่เป็นเพื่อนกันเอง  ใครสงสัยก็ไปถามศรีสุทโธเอาเอง ว่าจริงหรือไม่?

แถมขอหวยมาด้วยก็ได้ เพราะ ศรีสุทโธชอบให้หวย เพื่อช่วยคน

ขอบอกก่อนว่า... ก่อนที่จะไปเกิดเป็นพญานาค ผมเกิดเป็นจักรพรรดิ เป็นคนมาก่อนแล้ว   การไปเกิดเป็นพญานาค น่าจะเป็น "กฎข้อบังคับ" อย่างนั้น

ผมเรียนวิชาธรรมกายจาก ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม (วัดพระธรรมกาย), วัดปากน้ำ, วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม, คุณลุงการุณย์ บุญมานุช

ผมบวชพระครั้งที่ ๓ ที่วัดอัมพวัน ดังนั้น ผมก็ได้เรียนวิชาพองหนอยุบหนอในระดับพื้นฐานมาบ้าง และเรียนสายปฏิบัติธรรมหลักๆ มาเกือบทั้งหมด

แต่ผมก็ยึด #วิชาธรรมกาย เป็นหลัก.....

เมื่อไปเรียนกับคุณลุงก็ได้สอบเป็น "วิปัสสนาจารย์" สอนวิชาธรรมกายมาประมาณ ๒๐ ปี 

ปัจจุบันสอนวิชาธรรมกายตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงวิชชาธรรมกายชั้นสูงทุกวัน

ผมและคณะ "รับคำสั่ง" มาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระพุทธเจ้า และคุณลุงการุณย์ บุญมานุช เพื่อทำงานทุกวัน 

ทูลถาม, ถามคำถาม, รับงานมาทำทุกวัน 

กลับมาเข้าประเด็น........... 

ผมเห็นมีคนไปสอนวิชาธรรมกาย มากมายหลายคณะ แต่บุคคลเหล่านั้น  "เป็นมารมนุษย์" กันเป็นส่วนใหญ่ 

#วิชชาธรรมกาย เป็นวิชาที่ประกาศดับมาร ผมก็ทำวิชาดับอยู่ทุกวัน  ดังนั้น  "มาร" จึงทั้งเกลียดและกลัววิชชาธรรมกาย  และพยายามที่่ "สู้" วิชชาธรรมกาย

วิธีการอย่างหนึ่งก็คือ....  ส่งมารกายมนุษย์ไปสอนวิชาธรรมกายเลย เพื่อชักจูงคนให้ไปผิดทาง

ดังนั้น..... ใครต้องการเรียน #วิชาธรรมกาย  โปรดตรวจสอบให้ดีว่า...  ท่านที่เรียนถูกสถาบัน ถูกกลุ่มคนหรือเปล่า

หลักเกณฑ์ในการพิจารณา...

[1].. ผู้สอนเป็นศิษย์มาจากสาขาไหน 

[2].. ผู้สอนได้รับคำสั่งมาให้ "สอน" หรือไม่   วิชาธรรมกายไม่ใช่นึกอยากจะสอนก็สอน  หลวงพ่อวัดปากน้ำต้องสั่งให้สอน 

[3].. เขาสอนได้ถึงระดับไหน ตำรามีครบถ้วนหรือไม่  และสำคัญที่สุด  เขา "รู้" และ "เข้าใจ" ตำราในระดับไหน อย่างไร

[4].. เขานับถือวิชาธรรมกายอย่างเดียว อย่างผมและคณะ หรือนับถือมั่วไปหมด  

ฯลฯ

[5].. สงสัยมากๆ ก็ส่งภาพมาให้ผมและคณะตรวจสอบ

เท่าที่เคยตรวจสอบมา "เป็นมารมนุษย์"  กายดำสนิท

คำถาม......... ถ้าไปเรียน #วิชาธรรมกาย  กับมารมนุษย์ ผลจะเป็นอย่างไร

คำตอบ...... คุณก็จะถูกพลิกธาตุพลิกธรรมเป็นมาร   ความทุกข์เดือดร้อนก็จะเกิดขึ้น ไปทุกภพ ทุกชาติ แบบไม่ต้องมานับ มาคำนวณกัน

-------------------------

เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)

www.manaskomoltha.net

Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/

Line ID : manas4299

Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/

โทรศัพท์ : 083-4616989

โลกุตรธรรม ๙ ของวิชาธรรมกาย


โลกุตรธรรม ๙ ของวิชาธรรมกาย 

โลกุตรธรรม ๙ เป็นเรื่องสำคัญมากของศาสนาพุทธ แต่เป็นที่น่าแปลกใจมากๆ ก็คือ ไม่มีใครที่จะอธิบายให้เข้าใจแบบ "รู้แจ้ง เห็นจริง" ได้เลย 

*-*-*-*

มรรค ๔ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตมรรค

ผล ๔ ได้แก่ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล และ อรหัตผล 

นิพพาน ๑ คือ พระนิพพาน

*-*-*-*

มาดูคำอธิบายประกอบกัน

ตัวอย่างที่ ๑....

โสดาปัตติมรรค คือ หนทางการบรรลุเป็นพระโสดาบัน = โสดาปัตติผล คือ การได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

สกิทาคามิมรรค คือ หนทางการบรรลุเป็นพระสกิทาคามี = สกิทาคามิผล คือ การได้บรรลุเป็นพระสกิทาคามี

อนาคามิมรรค คือ หนทางการบรรลุเป็นพระอนาคามี = อนาคามิผล คือ การได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

อรหัตมรรค คือ หนทางการบรรลุเป็นพระอรหันต์ = อรหัตผล คือ การได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

นิพพาน ๑ คือ การบรรลุพระนิพพาน

ตัวอย่างที่ ๒...

เมื่อ สรุปมรรค สรุปผล คือ ไม่คาในมรรค ไม่คาในผล ไม่ยึดในมรรค ไม่ยึดในผล ทิ้งมรรค ทิ้งผล ไม่เกาะมรรค ไม่เกาะผล ก็ตรงต่อ นิพพาน ๑ ซึ่งไม่ใช่อะไร นิโรธ ดับ อย่างนั้นเอง ของมันเอง ไร้อัตตา ไร้อนัตตา ไร้ลักษณะ ไร้สภาวะ ไร้รูป ไร้นาม ไร้กาย ไร้จิต ไร้นอก ไร้ใน ไร้โลก ไร้ธรรม ไร้สมมุติ ไร้บัญญัติ ไร้อุปโลกน์ ไร้ความรู้สึก ไร้อารมณ์ ไร้กุศล ไร้อกุศล ที่เรียกสั้น ๆ ว่า “ไร้สรรพสิ่ง ”

ตัวอย่างที่ ๒ นี้ อ่านแล้วมึนยิ่งไปกว่าไป "หาทางฉีดวัคซีนโควิด-19 เสียอีก"  

ตกลงคนเขียนมันเข้าใจหรือเปล่า.....

แล้วก็คนจำนวนมาก "อวย" กันว่า ดีจัง ละเอียดดี ผมก็ว่า ผมก็เก่งพอสมควร ผมยังอ่านไม่เข้าใจ

มันจะอวยกันไปถึงไหน  ไม่เข้าใจ แล้วอวยว่า "เข้าใจ" นี่มันผิดศีล ผิดสัจจะ เสียด้วย

ขอให้ดูภาพประกอบ  กายธรรมใน # วิชาธรรมกาย มี ๑๐ กาย 

     กายธรรมโคตรภูหยาบ-กายธรรมโคตรภูละเอียด

     กายธรรมพระโสดาหยาบ-กายธรรมพระโสดาละเอียด

     กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ-กายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด

     กายธรรมพระอนาคามีหยาบ-กายธรรมพระอนาคามีละเอียด

     กายธรรมพระอรหัตหยาบ-กายธรรมพระอรหัตละเอียด

ในทางวิชาธรรมกายนั้น การวัดผลของการปฏิบัติธรรมวัดง่ายๆ ก็คือ ใครเห็นกายธรรมใดตลอดเวลา เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่ลดลง ก็แสดงว่า ได้บรรลุพระอริยบุคคลในขั้นนั้นแล้ว

ตอนนี้ ผมเพิ่งรู้มาว่า มีแม่ชีวัดปากน้ำท่านหนึ่ง "บรรลุโสดามรรค" แล้ว  จากการถามกายฝันของท่าน

*****

กายที่เป็นกายหยาบ ก็คือ "มรรค" กายที่เป็นกายละเอียด ก็คือ "ผล"

*****

แล้ว "นิพพาน ๑" คือ อะไร 

ก็คือ การที่กายธรรมพระอรหัตละเอียด เดินดวงธรรม ๖ ดวงอีก 1 รอบ กายธรรมก็จะละเอียดเท่ากับ "อายตนะนิพพาน" 

อายตนะนิพพานก็จะดึงดูดกายธรรมพระอรหัตที่ละเอียดขึ้นนั้น ไปอุบัติอยู่ในอายตนะนิพพาน

ขอให้ท่านผู้อ่านจงโปรดพิจารณาดูว่า.....

สายปฏิบัติธรรมอื่นๆ นักวิชาการ นักปริยัติ "ไม่เข้าใจ" เรื่อง โลกุตรธรรม ๙ อธิบายไม่ได้ ไม่รู้จริง

แล้วคนจำพวกนั้น จะไปนิพพานกันได้อย่างไร

-------------------------

เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)

www.manaskomoltha.net

Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/

Line ID : manas4299

Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/

โทรศัพท์ : 083-4616989

ปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง



เรื่องปาฏิหาริย์ของศาสนาพุทธนี้ พระใหญ่ๆ โตๆ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์/พระธรรมปิฎก/พระประยุทธ์/พระเปลืองข้าวสุกประชาชน “ไม่เชื่อ” ว่าเป็นจริง

ใครหาว่าผมใส่ร้ายพระผู้ใหญ่ก็ไปอ่านได้ที่นี่  “อิทธิปาฏิหาริย์ไม่มีอยู่จริง” ท่านเขียนไว้ในหนังสือพุทธธรรมว่า

“ดังนั้น คำว่าสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนอกเหนือธรรมชาติ ตามที่กล่าวมาแล้ว จึงเป็นเพียงสำนวนภาษาเท่านั้น ไม่มีอยู่จริง”

กล่าวได้ง่ายๆ ว่า พระรูปนี้ ไม่เชื่อพระไตรปิฎก  แต่ชอบไปโจมตีคนอื่นว่า “สอนไม่ตรงพระไตรปิฎก”  แต่วันนี้ ประเด็นที่ว่านี้ ไม่ใช่ประเด็นที่จะเขียน

ประเด็นที่จะเขียนก็คือ  ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนั้น  วิชาธรรมกายทำได้ทั้ง 3 อย่าง

ก่อนอื่นตั้งอธิบายก่อนว่า ปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง นั้นคืออะไร

ใน “เกวัฏฏสูตร” [พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๕๕ – ๒๕๙] ว่าด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่าง

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า 

ดูก่อนพราหมณ์ ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ 
อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ๑ 
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจเป็นอัศจรรย์ ๑ 
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ ๑

อิทธิปาฏิหาริย์ก็เช่นว่า ทำคนเดียวให้เห็นเป็นหลายคน เดินทะลุฝาได้ ดำดินได้เหมือนขอมดำดิน  เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น

อาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็เช่น ทายใจได้ว่า คนนั้นคิดอย่างไร เป็นประเภท ราคะจริต โลภะจริต หรือ โทสะจริต เป็นต้น 

อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ก็ขอยกพุทธพจน์ ดังนี้

ดูก่อนพราหมณ์ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ว่า จงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนี้ จงมนสิการอย่างนี้ อย่าได้มนสิการอย่างนี้ จงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่

ดูก่อนพราหมณ์ นี้เรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์.

พระพุทธองค์ทรงสอนเพิ่มเติมอีกว่า

ดูก่อนเกวัฏฏะ  ข้ออื่นยังมีอยู่อีก  พระตถาคตอุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้เองโดยชอบ  ฯลฯ  ดูก่อนเกวัฏฏะ แม้นี้ก็เรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์.

ภิกษุเข้าถึงทุติยฌาน  ตติยฌาน  จตุตถฌานอยู่.  ดูก่อน เกวัฏฏะ  ข้อนี้ท่านเรียกว่า   อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ฯลฯ

ภิกษุนำเข้าไปน้อมเข้าไปซึ่งจิตเพื่อญาณทัสสนะ.   ดูก่อนเกวัฏฏะ  นี้  ท่านเรียกว่า  อนุสาสนีปาฏิหาริย์.  ฯลฯ

ภิกษุย่อมรู้ว่า    ไม่มีจิตอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้อีก  ข้อนี้ท่านเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์. 

ดูก่อนเกวัฏฏะ   ปาฏิหาริย์  ๓ อย่างนี้แล  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง  แล้วจึงประกาศให้รู้. ฯลฯ

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง ปาฏิหาริย์ ๓ อีกครั้งหนึ่งใน “สังคาราวสูตร” [พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๕๕ – ๒๕๙] เนื้อหาก็คล้ายกับ “เกวัฏฏสูตร” ข้างต้น แต่ในตอนท้าย มีคำถามของพราหมณ์ว่า

“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็แม้ภิกษุอื่นรูปหนึ่งผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ นอกจากท่านพระโคดม มีอยู่หรือ”

พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ ดูก่อนพราหมณ์ ไม่ใช่มีร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อยไม่ใช่ห้าร้อย

ที่แท้ภิกษุผู้ประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ มีอยู่มากมายทีเดียว”

ปาฏิหาริย์ ๓ อย่างในวิชาธรรมกาย

1) อิทธิปาฏิหาริย์

เท่าที่อ่านหนังสือลุง บันทึกปราบมาร 31 เล่มของลุง และคุณลุงเล่าให้ฟัง  คุณลุงเหาะได้ ไปเที่ยวได้ทั่ว  แต่ใช้ “กายละเอียด” ไป  ไม่ใช่เอากายเนื้อไป

ลูกศิษย์ของลุงก็ทำได้หลายคน  อยากรู้ก็ไปเข้าประชุมกับวิทยากรดู  มีหลายคนที่ทำได้

2) อาเทสนาปาฏิหาริย์

ข้อนี้ คุณลุงกับลูกศิษย์ก็ทำได้หลายคน  คือ พอเห็นใครปุ๊บก็รู้เลยว่า  เป็นดีหรือคนเลว หรือครึ่งดี ครึ่งเลว

เป็นคน ราคะจริต โลภะจริต หรือ โทสะจริต ก็รู้  คิดอะไรอยู่ก็รู้

ตรงนี้ บอกวิธีการนิดหนึ่ง  การที่อยากจะรู้ว่า “ใครคิดอย่างไร” นั้น 

หลักการก็คือ เอาดวงธรรมของเรา ไปซ้อนกับของเขาให้สนิทเป็นดวงเดียวกัน  แล้วเราก็จะรู้ว่า “คนนั้น” คิดอย่างไร

วิธีการก็เอาใจของเราเข้า ฐานที่ 1-2-3-7 ของเขา พอถึงฐานที่ 7 เราก็จะเห็นดวงธรรมของเขา ก็เอาดวงธรรมของเราไปซ้อน

3) อนุสาสนีปาฏิหาริย์

ข้อนี้ คนที่สอบเป็นวิทยากรของคุณลุงทำได้ทุกคน  คือ สามารถสอนให้คนเห็นดวงธรรมได้ เห็นกายธรรมได้

ในพระไตรปิฎกก็คือ สอนให้คน “มีดวงตาเห็นธรรม

ตัวอย่างก็เช่นวิดิโอที่ผมสอนเด็กอนุบาลด้านบนนั้น

นี่แหละคือ การสอนให้เด็กอนุบาลมีดวงตาเห็นธรรม และเห็นกายธรรม  เด็กเหล่านั้น จะเป็นคนดีของสังคมไปในภายภาคหน้า

การสอนแบบนี้  ไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมไหน หรือพุทธวิชาการสถาบันไหนทำได้ ....