บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความจริง-วิชาธรรมกาย [2]

องค์ความรู้ของทางวิทยาศาสตร์ของศาสตร์ตะวันตกนั้น มีที่เริ่มต้นที่จุดเดียวกันคือ “ปรัชญา” ปรัชญานั้น ถือเป็น “แม่” ของวิชาทั้งปวง

ปรัชญามีหลายสาขา เช่น อภิปรัชญา (Metaphysics) ทฤษฎีความรู้/ญาณวิทยา (Epistemology) หรือตรรกวิทยา (logic)  เป็นต้น

แต่บทความนี้ จะกล่าวถึงอภิปรัชญา (Metaphysics) เท่านั้น

อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงความเป็นจริงแท้หรือความจริงสูงสุดของจักรวาล  พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ต้องการหาคำตอบของคำถามประเภทที่ว่า

ความจริงสูงสุดคืออะไร

ชีวิตกายและจิตคืออะไร

เนื้อแท้หรือแก่นแท้ของโลกคืออะไร เป็นต้น

เนื้อหาของอภิปรัชญาดังกล่าวนั้น มีประมาณ 3 -4 กลุ่ม แล้วแต่หลักการเขียนของตำราแต่ละเล่ม

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น  ผมจึงแบ่งเนื้อหาของอภิปรัชญาอย่างคร่าวๆ ออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ  สสารนิยม (Materialism) กับ จิตนิยม (Idealism)

กลุ่มสสารนิยมเชื่อว่า สสารหรือพลังงานเป็นปฐมธาตุหรือเป็นธาตุพื้นฐานที่สุดของสรรพสิ่ง  กลุ่มสสารนิยมรู้จักจิตเหมือนกัน  แต่เห็นว่าจิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสสาร

อาการของจิต หรือ ความรู้สึกนึกคิด จึงเป็นเพียงปฏิกิริยาทางเคมีของการทำงานทางสมองเท่านั้น  สิ่งที่เรียกว่าจิตไม่ถือว่ามีอยู่จริง

นอกจากนั้นแล้ว กลุ่มนี้ยังเชื่อว่า  สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น และ กายเท่านั้น คือ สิ่งที่มีอยู่จริง

โดยสรุป กลุ่มสสารนิยมเห็นว่า โลกนี้มีเพียงความจริงอย่างเดียว คือ สสารกับปรากฏการณ์ของสสาร

กลุ่มจิตนิยม มีความเชื่อว่า องค์ประกอบของโลกหรือจักรวาลมี 2 ส่วน คือ สสารกับจิต

เมื่อพิจารณาเฉพาะมนุษย์  กลุ่มจิตนิยม จึงเห็นว่า มนุษย์มีส่วนประกอบ 2 อย่าง คือ กาย กับจิต (Body and Mind)

จิต คือ ความเป็นจริงสูงสุด และมีความสำคัญกว่าร่างกาย หรือสสารเพราะจิตเป็นตัวตนที่แท้จริง   ส่วนร่างกายเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

ในทางศาสตร์หรือองค์ความรู้ของทางตะวันตกนั้น มีปรัชญาเป็นต้นตอทั้งสิ้น  วิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันก็เช่นกัน 

องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม  ปฏิเสธแนวคิดของจิตนิยมโดยสิ้นเชิง  ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกของนิวตันจึงเป็นไปตามแนวคิดของสสารนิยม

ความจริงของนิวตัน

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม  ความจริงของนิวตันจึงต้องสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เท่านั้น 

ความจริงเหล่านั้น จะไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือสาวกของนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเหมือนจะล่องลอยอยู่  ใครก็สามารถจะไปศึกษาความจริงเหล่านั้นได้

ความจริงของนิวตันจึงเป็นความจริงที่ตายตัวแน่นอน ไม่ว่าใครจะมาศึกษาก็ต้องได้ผลของการศึกษาเหมือนกัน 

วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) จึงเป็นวิธีการเดียวที่ยอมรับได้ 

การศึกษาหาความรู้ใดๆ ก็ตาม  ถ้าเอาความคิดของตัวผู้ศึกษาเข้าไปปะปน   นักวิชาการที่อยู่ในยุคสมัยใหม่ก็จะโจมตีการศึกษาครั้งนั้นๆ ว่ามีความลำเอียง (bias)  ผลการศึกษาจึงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

ถ้าเปรียบเทียบกับงานวิจัย   งานวิจัยที่เชื่อวิทยาศาสตร์สุดๆ ก็คือ งานวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งต้องมีหลักการละเอียดยิบเพื่อป้องกันความลำเอียง (bias) ของงานวิจัย เพื่อที่จะหาตัวเลขชุดหนึ่งมาเป็นผลของการศึกษา

ความจริงของนิวตันกับความจริงศาสนา

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันได้รับความนิยมสูงสุด คือ องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าจึงทำตัวเหมือนผู้พิพากษาความจริง  ถ้าองค์ความรู้ใดๆ ไม่ใช้วิธีการศึกษาที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ก็จะได้รับการตราหน้าว่า "ไม่จริง" ทั้งหมด

มีศัพท์ตั้งชื่อลักษณะเช่นนี้ว่า Exclusive ซึ่งมีที่มาจากศาสนาคริสต์ ซึ่งเชื่อว่า ความรู้ของตนถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียวของคนอื่นผิดหมด

ในทางศาสนาคริตส์ คนที่นับถือพระเจ้าเท่านั้นจะขึ้นสวรรค์ได้  คนในศาสนาอื่นๆ ตกนรกหมด

ในทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่า คนในศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะมีโอกาสไปนิพพานได้  ศาสนาอื่นๆ ทำไม่ได้

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่ารุ่งโรจน์  องค์ความรู้อื่นๆ เช่น หมอดู หรือหมอกลางบ้าน เป็นต้น จึงแทบจะหมดทางหากิน

ศาสนาทั้งหลายก็โดนหางเลขไปด้วย  นักวิชาการทางศาสนาเป็นจำนวนมาก ต้องตีความเนื้อหาของศาสนาของตนเองใหม่ ให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์เก่า ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นต้น

เฉพาะสถานการณ์ในเมืองไทย  พุทธวิชาการจึงตีความพระไตรปิฎกใหม่หมด  นรกสวรรค์ถูกทำให้เป็นความไม่จริง  พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเพื่อต้องการให้คนทำความดี
จริงๆ แล้วไม่มี

ผู้ที่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงๆ  มักถูกแย้งด้วยคำถามเช่นนี้เสมอว่า ทำไมสวรรค์ของคริสต์ศาสนากับพุทธศาสนาจึงไม่เหมือนกัน   หรือบางทีเกจิอาจารย์ 2 ท่าน บรรยายสวรรค์ไม่เหมือนกัน  ก็จะถูกโจมตีว่า ทำไมสวรรค์จึงไม่เหมือนกัน

คำถามต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาจากสาวกของวิทยาศาสตร์แบบกลไกเพราะเชื่อว่า ความจริงต้องมีแบบเดียวกัน เหมือนกันนี่แหละ

สำหรับคำตอบเรื่องสวรรค์เท่าที่ผมได้ยินก็จะเป็นทำนองว่า สวรรค์นั้นใหญ่มาก  คนที่ปฏิบัติธรรมไปถึงสวรรค์ได้ อาจจะไปถึงคนละแห่ง คนละที่จึงเห็นไม่เหมือนกัน

บางคนก็จะเปรียบเทียบว่า สมมุติว่า คนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ  คนหนึ่งไปที่สลัมคลองเตย   อีกคนหนึ่งไปที่สีลม  คนทั้ง 2 คนก็ย่อมจะบรรยายกรุงเทพฯ แตกต่างกันออกไป

จะเห็นว่า ทั้งคำตอบและคำถามได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันทั้งสิ้น เพราะ เชื่อว่า ความจริงต้องเหมือนกัน  ถ้าสวรรค์มีจริงๆ  ไม่ว่าสวรรค์ของศาสนาไหนก็ต้องเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ดี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎที่ใหญ่กว่าความจริงของนิวตัน  เพราะ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้โค่นล้มไปจนหมดสิ้น ให้เหลือเป็นความจริงแคบๆ เฉพาะที่เท่านั้น  ไม่เป็นสากลดังที่เคยเชื่อๆ กัน...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น