องค์ความรู้ของทางวิทยาศาสตร์ของศาสตร์ตะวันตกนั้น มีที่เริ่มต้นที่จุดเดียวกันคือ “ปรัชญา” ปรัชญานั้น ถือเป็น “แม่” ของวิชาทั้งปวง
ปรัชญามีหลายสาขา เช่น อภิปรัชญา (Metaphysics) ทฤษฎีความรู้/ญาณวิทยา (Epistemology) หรือตรรกวิทยา (logic) เป็นต้น
แต่บทความนี้ จะกล่าวถึงอภิปรัชญา (Metaphysics) เท่านั้น
อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงความเป็นจริงแท้หรือความจริงสูงสุดของจักรวาล พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ต้องการหาคำตอบของคำถามประเภทที่ว่า
ความจริงสูงสุดคืออะไร
ชีวิตกายและจิตคืออะไร
เนื้อแท้หรือแก่นแท้ของโลกคืออะไร เป็นต้น
เนื้อหาของอภิปรัชญาดังกล่าวนั้น มีประมาณ 3 -4 กลุ่ม แล้วแต่หลักการเขียนของตำราแต่ละเล่ม
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมจึงแบ่งเนื้อหาของอภิปรัชญาอย่างคร่าวๆ ออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ สสารนิยม (Materialism) กับ จิตนิยม (Idealism)
กลุ่มสสารนิยมเชื่อว่า สสารหรือพลังงานเป็นปฐมธาตุหรือเป็นธาตุพื้นฐานที่สุดของสรรพสิ่ง กลุ่มสสารนิยมรู้จักจิตเหมือนกัน แต่เห็นว่าจิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ของสสาร
อาการของจิต หรือ ความรู้สึกนึกคิด จึงเป็นเพียงปฏิกิริยาทางเคมีของการทำงานทางสมองเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าจิตไม่ถือว่ามีอยู่จริง
นอกจากนั้นแล้ว กลุ่มนี้ยังเชื่อว่า สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น และ กายเท่านั้น คือ สิ่งที่มีอยู่จริง
โดยสรุป กลุ่มสสารนิยมเห็นว่า โลกนี้มีเพียงความจริงอย่างเดียว คือ สสารกับปรากฏการณ์ของสสาร
กลุ่มจิตนิยม มีความเชื่อว่า องค์ประกอบของโลกหรือจักรวาลมี 2 ส่วน คือ สสารกับจิต
เมื่อพิจารณาเฉพาะมนุษย์ กลุ่มจิตนิยม จึงเห็นว่า มนุษย์มีส่วนประกอบ 2 อย่าง คือ กาย กับจิต (Body and Mind)
จิต คือ ความเป็นจริงสูงสุด และมีความสำคัญกว่าร่างกาย หรือสสารเพราะจิตเป็นตัวตนที่แท้จริง ส่วนร่างกายเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
ในทางศาสตร์หรือองค์ความรู้ของทางตะวันตกนั้น มีปรัชญาเป็นต้นตอทั้งสิ้น วิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันก็เช่นกัน
องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม ปฏิเสธแนวคิดของจิตนิยมโดยสิ้นเชิง ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกของนิวตันจึงเป็นไปตามแนวคิดของสสารนิยม
ความจริงของนิวตัน
เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม ความจริงของนิวตันจึงต้องสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เท่านั้น
ความจริงเหล่านั้น จะไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือสาวกของนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเหมือนจะล่องลอยอยู่ ใครก็สามารถจะไปศึกษาความจริงเหล่านั้นได้
ความจริงของนิวตันจึงเป็นความจริงที่ตายตัวแน่นอน ไม่ว่าใครจะมาศึกษาก็ต้องได้ผลของการศึกษาเหมือนกัน
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) จึงเป็นวิธีการเดียวที่ยอมรับได้
การศึกษาหาความรู้ใดๆ ก็ตาม ถ้าเอาความคิดของตัวผู้ศึกษาเข้าไปปะปน นักวิชาการที่อยู่ในยุคสมัยใหม่ก็จะโจมตีการศึกษาครั้งนั้นๆ ว่ามีความลำเอียง (bias) ผลการศึกษาจึงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ถ้าเปรียบเทียบกับงานวิจัย งานวิจัยที่เชื่อวิทยาศาสตร์สุดๆ ก็คือ งานวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งต้องมีหลักการละเอียดยิบเพื่อป้องกันความลำเอียง (bias) ของงานวิจัย เพื่อที่จะหาตัวเลขชุดหนึ่งมาเป็นผลของการศึกษา
ความจริงของนิวตันกับความจริงศาสนา
เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันได้รับความนิยมสูงสุด คือ องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าจึงทำตัวเหมือนผู้พิพากษาความจริง ถ้าองค์ความรู้ใดๆ ไม่ใช้วิธีการศึกษาที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ก็จะได้รับการตราหน้าว่า "ไม่จริง" ทั้งหมด
มีศัพท์ตั้งชื่อลักษณะเช่นนี้ว่า Exclusive ซึ่งมีที่มาจากศาสนาคริสต์ ซึ่งเชื่อว่า ความรู้ของตนถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียวของคนอื่นผิดหมด
ในทางศาสนาคริตส์ คนที่นับถือพระเจ้าเท่านั้นจะขึ้นสวรรค์ได้ คนในศาสนาอื่นๆ ตกนรกหมด
ในทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่า คนในศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะมีโอกาสไปนิพพานได้ ศาสนาอื่นๆ ทำไม่ได้
เมื่อวิทยาศาสตร์เก่ารุ่งโรจน์ องค์ความรู้อื่นๆ เช่น หมอดู หรือหมอกลางบ้าน เป็นต้น จึงแทบจะหมดทางหากิน
ศาสนาทั้งหลายก็โดนหางเลขไปด้วย นักวิชาการทางศาสนาเป็นจำนวนมาก ต้องตีความเนื้อหาของศาสนาของตนเองใหม่ ให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์เก่า ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นต้น
เฉพาะสถานการณ์ในเมืองไทย พุทธวิชาการจึงตีความพระไตรปิฎกใหม่หมด นรกสวรรค์ถูกทำให้เป็นความไม่จริง พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเพื่อต้องการให้คนทำความดี
จริงๆ แล้วไม่มี
ผู้ที่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงๆ มักถูกแย้งด้วยคำถามเช่นนี้เสมอว่า ทำไมสวรรค์ของคริสต์ศาสนากับพุทธศาสนาจึงไม่เหมือนกัน หรือบางทีเกจิอาจารย์ 2 ท่าน บรรยายสวรรค์ไม่เหมือนกัน ก็จะถูกโจมตีว่า ทำไมสวรรค์จึงไม่เหมือนกัน
คำถามต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาจากสาวกของวิทยาศาสตร์แบบกลไกเพราะเชื่อว่า ความจริงต้องมีแบบเดียวกัน เหมือนกันนี่แหละ
สำหรับคำตอบเรื่องสวรรค์เท่าที่ผมได้ยินก็จะเป็นทำนองว่า สวรรค์นั้นใหญ่มาก คนที่ปฏิบัติธรรมไปถึงสวรรค์ได้ อาจจะไปถึงคนละแห่ง คนละที่จึงเห็นไม่เหมือนกัน
บางคนก็จะเปรียบเทียบว่า สมมุติว่า คนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ คนหนึ่งไปที่สลัมคลองเตย อีกคนหนึ่งไปที่สีลม คนทั้ง 2 คนก็ย่อมจะบรรยายกรุงเทพฯ แตกต่างกันออกไป
จะเห็นว่า ทั้งคำตอบและคำถามได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันทั้งสิ้น เพราะ เชื่อว่า ความจริงต้องเหมือนกัน ถ้าสวรรค์มีจริงๆ ไม่ว่าสวรรค์ของศาสนาไหนก็ต้องเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ดี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎที่ใหญ่กว่าความจริงของนิวตัน เพราะ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้โค่นล้มไปจนหมดสิ้น ให้เหลือเป็นความจริงแคบๆ เฉพาะที่เท่านั้น ไม่เป็นสากลดังที่เคยเชื่อๆ กัน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น